มีการพบเห็นผ้าปะลางิงครั้งแรกในปี พ.ศ.2472 ในขบวนรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยผู้ร่วมขบวนได้แต่งกายด้วยผ้าปะลางิง ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่จะใช้นุ่ง ส่วนผู้หญิงจะใช้สำหรับคลุมผม คลุมศีรษะ และปล่อยชายผ้าห้อยลงมาอย่าสวยงาม

ครูปิยะนำลวดลายที่พบเห็นจากสถาปัตยกรรมวิถีและวัฒนธรรมในพื้นถิ่นใต้ มาสร้างสรรค์ลวดลายแล้วแกะสลักเป็น “บล็อกไม้” ที่ใช้พิมพ์ผ้าปะลางิงมากกว่า 200 ลาย โดยไม่จำกัดใช้เพียงในกลุ่มเท่านั้น ยังแบ่งปันความรู้ เทคนิค และมอบบล็อกไม้ลวดลายต่างๆ ให้แก่ชุมชนโดยรอบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ได้นำไปต่อยอดประกอบอาชีพงานศิลปะผ้าพิมพ์ต่อไปในวงกว้าง

ครูปิยะ สุวรรณพฤกษ์ ครูช่างศิลปหัตถกรรม ผู้ที่มีส่วนรื้อฟื้น “ผ้าปะลางิง” ที่เคยสูญหายไปกว่า 80 ปี ด้วยเจตนาที่จะอนุรักษ์ผ้าปะลางิงที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี โดยผ้าแต่ละผืนบรรจุเรื่องราวทางวัฒนธรรมและศิลปหัตถกรรม ผ่านรูปแบบเส้นสายการทอ วัสดุการทอ การสร้างลวดลาย เทคนิคการย้อมสี

การรื้อฟื้นตำนาน ผ้าปะลางิง นอกจากเรื่องการอนุรักษ์เชิงศิลปะแล้ว ยังนับเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน ครูปิยะจึงตั้ง’กลุ่มศรียะลาบาติก’ ขึ้นเพื่อผลิตงานผ้าปะลางิง ด้วยเชื่อว่า ผ้าแต่ละผืนเสมือนการรวมกันของพหุวัฒนธรรม รวมคนที่มีเรียนรู้การทำผ้ามาทำงานร่วมกัน มีทั้งชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม รวมถึงคนไทยเชื้อสายจีน การทำงานแต่ละกระบวนการ เทคนิคการผลิตผ้า เช่น การทอ การเย็บย้อม การลงสี พิมพ์ลวดลาย ก็กระจายงานกันไปแต่ละชุมชนตามขั้นตอนการผลิต อีกทั้งยังสามารถต่อยอดงานฝีมือให้ผู้เรียนได้นำไปสร้างอาชีพเลี้ยงตัวและยกระดับชีวิตในชุมชนได้ด้วย

ผ้าปะลางิง มีวิวัฒนาการที่น่าสนใจตั้งแต่ในอดีต เรื่อยมาถึงปัจจุบัน วัสดุที่นำมาทอก็ประยุกต์ตามพื้นที่และความนิยม สีที่ใช้ย้อม ก็พัฒนาและปรับเปลี่ยนตามกาลเวลา เทคนิคการทอ เย็บย้อม และลงสี ก็ยืดหยุ่นไปตามภูมิปัญญาและยุคสมัย ลวดลายต่างๆ ก็ดัดแปลง สร้างสรรค์ตามวัฒนธรรมที่หลั่งไหลและผสมผสานกันเรื่อยมา จึงสรุปได้ดังที่ครูปิยะบอกเล่าว่าผ้าหนึ่งผืนบรรจุไปด้วยเรื่องราวมากมายให้ได้ศึกษาและสืบทอด

ครูปิยะนำลวดลายที่พบเห็นจากสถาปัตยกรรมวิถีและวัฒนธรรมในพื้นถิ่นใต้ มาสร้างสรรค์ลวดลายแล้วแกะสลักเป็น “บล็อกไม้” ที่ใช้พิมพ์ผ้าปะลางิงมากกว่า 200 ลาย โดยไม่จำกัดใช้เพียงในกลุ่มเท่านั้น ยังแบ่งปันความรู้ เทคนิค และมอบบล็อกไม้ลวดลายต่างๆ ให้แก่ชุมชนโดยรอบในสามจังหวัดชายแดนใต้ ได้นำไปต่อยอดประกอบอาชีพงานศิลปะผ้าพิมพ์ต่อไปในวงกว้าง ส่วนการย้อมสีผ้า ที่จากเดิมเป็นการย้อมร้อน ซึ่งส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพคนทำงาน เนื่องจากมีสารเคมีและตะกั่ว เปลี่ยนมาเป็นเทคนิคการย้อมเย็น โดยใช้สีจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เปลือกไม้ ใบไม้ หรือดิน เป็นต้น ที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและคนทำงานมากกว่า

จะเห็นว่า ผ้าปะลางิง มีวิวัฒนาการที่น่าสนใจตั้งแต่ในอดีต เรื่อยมาถึงปัจจุบัน วัสดุที่นำมาทอก็ประยุกต์ตามพื้นที่และความนิยม สีที่ใช้ย้อม ก็พัฒนาและปรับเปลี่ยนตามกาลเวลา เทคนิคการทอ เย็บย้อม และลงสี ก็ยืดหยุ่นไปตามภูมิปัญญาและยุคสมัย ลวดลายต่างๆ ก็ดัดแปลง สร้างสรรค์ตามวัฒนธรรมที่หลั่งไหลและผสมผสานกันเรื่อยมา จึงสรุปได้ดังที่ครูปิยะบอกเล่าว่าผ้าหนึ่งผืนบรรจุไปด้วยเรื่องราวมากมายให้ได้ศึกษาและสืบทอด

 

#ใต้สุดอยู่ไม่ไกล #ใต้ธงไทยเดียวกัน
#ยะลา #ผ้าปะลางิง #บาติก #ศรียะลาบาติก #ผ้าย้อมสีธรรมชาติ