สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดสัมมนา “การสร้างความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง”
ณ โรงแรม รามา การ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร
เพื่อผลักดันให้เกิดโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล
เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดสัมมนา
“การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
และกฎหมายลำดับรอง” ครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ที่กรุงเทพมหานคร หลังจากเปิดเวทีสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ บุคลากรของหน่วยงานของรัฐ ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปก่อนหน้านี้ โดยการจัดสัมมนาในครั้งนี้ได้เลื่อนมาจากเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ เนื่องจากสถานการณ์ของโรคโควิด ๑๙
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา “การสร้างความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง”
ที่กรุงเทพมหานครนี้เป็นกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุน
ระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ (พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒) และกฎหมายลำดับรอง ให้กับบุคลากรหน่วยงานของรัฐในเขตจังหวัดภาคกลาง ๑๓ จังหวัด โดยพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมีสาระสำคัญ
ที่เปลี่ยนแปลงหลายประการเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
สาระสำคัญของ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ ได้กำหนดให้โครงการที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. นี้ จะต้องเป็นโครงการร่วมลงทุนในกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนี้ ส่งผลให้โครงการร่วมลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เช่น โครงการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ไม่ต้องเข้ามาสู่กระบวนการตามกฎหมายดังกล่าว
และได้กำหนดให้มีแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และด้านสังคมของประเทศที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้น เพื่อกำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนและแน่นอนในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะซึ่งเป็นภารกิจหลักของรัฐ
โดยกำหนดเป้าประสงค์ของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนให้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) มุ่งเน้นการใช้ความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมของเอกชน
ในโครงการร่วมลงทุน การถ่ายทอดความรู้และความเชี่ยวชาญไปยังหน่วยงานภาครัฐ การรักษาวินัยการเงิน
การคลังของรัฐ และการเสริมสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้ นอกจากนี้ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ ยังมุ่งเน้นถึงความสำเร็จอย่างยั่งยืนของโครงการ PPP โดยกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนให้แก่โครงการร่วมลงทุนอย่างเหมาะสมภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง และมีกลไกช่วยแก้ไขปัญหาหรือความล่าช้า
ในการจัดทำหรือดำเนินโครงการร่วมลงทุน รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการจัดทำโครงการร่วมลงทุนให้กระชับมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันนี้คณะกรรมการ PPP และ สคร. โดยอาศัยอำนาจตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ ได้จัดทำแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน ตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ มาตรา ๑๒ เพื่อให้ประเทศมีทิศทางการพัฒนาโครงสร้าพื้นฐานและด้านสังคมของประเทศที่ชัดเจนและแน่นอน
ซึ่งโครงการที่จะดำเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ ได้นั้น ต้องเป็นโครงการที่บรรจุ
อยู่ในแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนก่อน นอกจากนี้ สคร. ยังได้ออกกฎหมายลำดับรองที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วนต่อการดำเนินโครงการ PPP แล้ว จำนวน ๑๖ ฉบับ ตั้งแต่หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณมูลค่าโครงการร่วมลงทุน รายละเอียดที่ต้องมีในรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และหลักเกณฑ์และวิธีการในการนำความเห็นของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนมาประกอบการพิจารณาจัดทำรายงานการศึกษา
และวิเคราะห์โครงการ หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการโครงการร่วมลงทุนที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนดในมาตรา ๙ แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชน รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนและสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน ซึ่งมีความครบถ้วนและพร้อมให้หน่วยงานของรัฐดำเนินโครงการให้เอกชน
ร่วมลงทุนได้ทันที
การจัดสัมมนา “การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง” เป็นการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง ทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และในส่วนภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการดำเนินการและการปฏิบัติงานตามกฎหมายที่มีขั้นตอนที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตลอดจน
สร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ PPP ให้กับบุคลากรหน่วยงานของรัฐ ได้แก่ หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอิสระ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้เกิดโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้เพิ่มขึ้น
ตามนโยบายของรัฐบาลและเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว