ประเทศไทยนับว่าโชคดีที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาอันเป็นประโยชน์สืบต่อกันมา โดยเฉพาะเรื่องสมุนไพร ซึ่งแต่โบราณหมอยานำมาใช้รักษาคนไข้ จนปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าการแพทย์แผนไทย เป็นการรักษาผู้ป่วยอีกทางเลือกหนึ่ง และยาสมุนไพรก็มีสรรพคุณมากมาย ปลอดภัย บางชนิดสามารถทดแทนยาแผนปัจจุบันได้ นับว่าศาสตร์แผนไทยมาแรงในยุคนี้

 

ซึ่งทางดั๊บเบิ้ล เอ ได้เปิดโลกอาชีพให้น้อง ๆ รุ่นใหม่รู้จักกับอาชีพแพทย์แผนไทย ในกิจกรรม A to a “แพทย์แผนไทย…สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาสร้างอาชีพ” ให้กับน้อง ๆ ชั้นม.2 จากโรงเรียนบ้านท่าตูมจำนวน 60 คน ร่วมกันเดินทางไปเรียนรู้ ณ ภูมิภูเบศร ศูนย์การเรียนรู้สมุนไพรและภูมิปัญญาสุขภาพ บางเดชะ จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมพบปะพูดคุยกับพี่ ๆ แพทย์แผนไทยตัวจริงจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร  โดย  A to a เป็นกิจกรรมภายใต้แคมเปญ Double A Better Tomorrow  ปลูกฝัน ปลูกปัญญา ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อต้องการให้เยาวชนได้มีโอกาสรู้จักอาชีพต่างๆที่หลากหลาย จากพี่ๆในอาชีพต่างๆ อาสามาร่วมเป็นพี่ A (เอใหญ่) แนะแนวทาง ถ่ายทอดประสบการณ์ จุดประกายความฝันและสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ เยาวชนหรือน้อง a (เอเล็ก) สู่อนาคตที่ดี

 

นายชาญวิทย์ จารุสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดั๊บเบิ้ล เอ ได้กล่าวเปิดงานว่า “กิจกรรม A to a ครั้งนี้ จะทำให้น้องๆได้รู้จักอาชีพแพทย์แผนไทยประยุกต์ และประโยชน์ของสมุนไพรไทยในการรักษาโรค ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนไทย และปราจีนบุรี ถือเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องของสมุนไพรทางการแพทย์ และมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นการปลูก วิจัยพัฒนาจนเป็นที่รู้จักอย่างเช่น โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งครั้งนี้ก็รู้สึกยินดีที่กิจกรรม A to a ได้รับเกียรติจากทางโรงพยาบาลได้ให้คุณหมอ แพทย์แผนไทยประยุกต์มาเป็นพี่ A (ใหญ่) แนะนำเกี่ยวกับอาชีพให้กับน้องๆ a(เอเล็ก) เพื่อเป็นเเรงบันดาลใจ และที่สำคัญเป็นโอกาสที่น้อง ๆ ได้เห็นคุณค่าของสมุนไพรที่สร้างชื่อเสียงในจังหวัดตัวเอง สร้างโอกาสและรายได้ที่ดี”

 

พี่ A ที่เสียสละมาร่วมให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์กับน้องๆ คือ คุณชยานนท์ ชยาภิบาล  แพทย์แผนไทยประยุกต์จากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร หรือ “หมอแฟรงค์” โดยคุณหมอได้ให้ข้อมูลแนวทางศึกษาต่อในสายอาชีพนี้ว่า “น้องๆที่สนใจเมื่อจบชั้นม.6 ก็สามารถสอบเข้าในคณะแพทย์แผนไทย ซึ่งมีหลายมหาวิทยาลัยที่เปิดรับสมัคร ทั้งนี้คณะแพทย์แผนไทยจะมีทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาเวชกรรมไทย เป็นเรื่องการตรวจรักษาโรคแบบธาตุเจ้าเรือน, สาขาเภสัชกรรมไทย จะเรียนเรื่องสมุนไพรและตำรับยา, สาขาหัตถเวชกรรมไทย เป็นการนวดแผนไทยมี 2 ศาสตร์คือ แบบราชสำนัก เป็นการนวดในวังให้กับเจ้านาย โดยใช้หัวแม่มือนวด และแบบเชลยศักดิ์ เป็นการนวดปกติทั่วไปที่เราพบเห็น และสาขาผดุงครรภ์แผนไทย จะเป็นการดูแลคุณแม่หลังคลอด 

 

นอกจากนี้คุณหมอแฟรงค์ ยังบรรยายให้ความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรในการรักษาโรค ที่เราสามารถแยกแยะสรรพคุณการรักษาได้จากชิมรสยา โดยรสร้อนจะช่วยกระจายลม รสเย็นช่วยลดไข้ รสฝาดช่วยสมานแผล รสขม ช่วยระบายและเจริญอาหาร เป็นต้น พืชที่เราพบเห็นได้ทั่วไปอย่างพืชผักสวนครัวก็เป็นสมุนไพรได้เช่นเดียวกัน อย่างมะขามป้อม เป็นพืชที่มีถึง 5 รสชาติคือ เปรี้ยว ฝาด ขม หวานและเผ็ดร้อน สรรพคุณมีวิตามินซีสูง แม้ถูกความร้อนสูงวิตามินก็ยังคงอยู่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แก้ไอขับเสมหะ, มังคุด จะใช้เปลือกมังคุดมาสกัด สรรพคุณช่วยสมานแผล แผลแห้งเร็วไม่ติดเชื้อ สามารถนำมาใช้แทนเบตาดีน และยังลดการเกิดสิว, กระเทียม มีฤทธิ์ร้อน แก้ท้องอืด ลดไขมันในหลอดเลือด กินสดยิ่งดี พร้อมแนะนำเคล็ดลับการสังเกตเรือนธาตุให้ดูด้วยว่า ลักษณะของคนธาตุไฟ จะผมหยิก ผิวแดง ๆ ผิวมัน รูขุมขนกว้าง คนธาตุลม จะสูงหุ่นดี ผมแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง คนธาตุน้ำและดิน จะหุ่นอ้วน ผิวใส ซึ่งก็จะทำให้ง่ายต่อการสังเกตและรักษาโรค และยังได้สาธิตท่าฤาษีดัดตนง่ายๆ เอาไว้ใช้บริหารร่างกายและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทิ้งท้ายด้วยการให้น้อง ๆ ทุกคนชูนิ้วโป้งมือ เพื่อค้นหาว่าใครมีนิ้วโป้งที่มีข้องอแอ่นไปข้างหลังบ้าง เพราะคนนั้น คือ คนที่มีพรสวรรค์ในการใช้ศาสตร์ของการนวด

 

ก่อนจบกิจกรรมครึ่งเช้า น้องๆได้เข้าเยี่ยมชมเรือนหมอพลอย เป็นการจำลองบ้านไม้เรือนไทยของหมอหลวงในรัชกาลที่ 5 ภายในเรือนแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์เรียนรู้ที่นี่ ซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราวหมอไทยสมัยก่อน มีอุปกรณ์การทำยา เครื่องบดยา ตัวอย่างยาสมุนไพรที่เป็นของจริงส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วเรือน   ตกช่วงบ่ายน้องๆ ก็มีการแบ่งกลุ่มทำเวิร์คช็อป “สบู่สมุนไพร” ตั้งแต่การคำนวณสูตร ประเภทสบู่ ซึ่งน้องๆในทีมจะช่วยกันเลือกสมุนไพรตามคุณสมบัติที่ต้องการ อาทิ ขมิ้นชัน ช่วยให้ผิวขาวเนียน ลดผดผื่นคัน, กาแฟ ช่วยผลัดเซลล์ผิว พร้อมกับเลือกกลิ่นได้ตามชอบ ทุกทีมต่างร่วมแรงร่วมมือ และลุ้นว่าสบู่ของตัวเองจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งทุกทีมก็ไม่ผิดหวังได้สบู่สมุนไพรออกมาอย่างสวยงามก่อนจะหุ้มพลาสติกกลับไปลองใช้ที่บ้านกัน

 

เด็กหญิงณัชชา เกษร (น้องปราย) “ดีใจค่ะที่ร่วมกิจกรรมกับดั๊บเบิ้ล เอ ครั้งนี้ ตอนแรกที่พูดถึงแพทย์แผนไทย จะนึกถึงหมอนวด หลังจากร่วมกิจกรรมทำให้รู้จักแพทย์แผนไทยมากขึ้น ว่าศาสตร์การรักษาคนไข้ที่มีมาแต่โบราณ ก็มีหลายสาขาวิชา และในมหาวิทยาลัยก็มีเปิดสอนด้วย  สิ่งที่ประทับใจคือที่พี่หมอสอนท่าฤาษีดัดตน ไม่คิดว่าการดัดตนเองคือการนวด ประโยชน์ครั้งนี้ก็จะนำความรู้เรื่องสมุนไพรไปต่อยอดคิดสูตรผลิตภัณฑ์ค่ะ เพราะที่โรงเรียนมีการทำน้ำยาล้างจานสูตรมะนาวใช้เองในโรงเรียนและขายในชุมชน  สำหรับอาชีพในฝัน อยากเป็นเภสัชกร เพราะมีส่วนช่วยรักษาคนไข้ค่ะ”

 

เด็กหญิงพิมพ์ระพี คงสง (น้องทราย) “รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้าชมเรือนหมอพลอยค่ะ ได้รู้ว่าหมอยาสมัยก่อนหรือหมอมือเปล่า ที่ไม่มีเครื่องมือทันสมัยอะไรเพียงใช้สมุนไพรก็เป็นยารักษาคนไข้ได้ ไม่คิดว่าพืชผักที่ใกล้ตัวเรามีอะไรมากกว่าที่คิด จากความรู้ที่ได้นี้จะลองไปพัฒนาทำสบู่สูตรมะนาว เพราะมะนาวมีน้ำมันตรงเปลือก ช่วยทำให้ผิวนุ่ม หากทำได้สำเร็จคิดว่าจะเสนอโรงเรียนทำเป็นแบรนด์จำหน่ายได้ค่ะ”

 

หากน้องๆที่สนใจเรื่องสมุนไพร หรือสนใจทำเวิร์คช็อปเกี่ยวกับสมุนไพร ก็สามารถแวะไปได้ที่ ภูมิภูเบศร ซึ่งเขาจะมีเวิร์คช็อปฟรีทุกเสาร์อาทิตย์ หรืออยากฟังคำแนะนำเกี่ยวกับอาชีพแพทย์แผนไทยประยุกต์จากคุณหมอท่านอื่นเพิ่มเติมว่า ต้องเรียนยังไง ทำงานได้ที่ไหนบ้าง รายได้เป็นอย่างไร เป็นผู้สูงอายุก็เรียนได้จริงหรือไม่ ก็สามารถเข้าชมคลิปได้ที่เว็บไซต์ youtube Double A Thailand  ซึ่งยังมีอีกหลากหลายอาชีพให้น้องๆได้รู้จักและเรียนรู้ ขอแค่เราสนใจและมีความสุขกับสิ่งนั้น ก็จะค้นพบความฝันที่ให้ก้าวเดินในอนาคต